รูปแบบการสอน

รูปแบบการสอน


                                                  
                      
                          รูปแบบการสอนกลุ่มพฤติกรรมนิยม


1. กลุ่มพฤติกรรมนิยม
       1.1 แนวคิดกลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซึ่งมีแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมนิยมทุกอย่างต้องมีสาเหตุและเมื่อสิ่งเร้าเข้ามากระทบกับมนุษย์ จึงทำให้มนุษย์มรพฤติกรรมตอบสนอง มุ่งที่จะศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (Stimulus) กับการตอบสนอง (Response) 

        1.2 รูปแบบการสอนกลุ่มพฤติกรรมนิยม
              1.2.1 วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา
วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา ( CIPPA MODEL) คือ วิธีการจัดการเรียนสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งเน้นให้นักเรียน นักศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการแลกเปลี่ยนความรู้ การได้เคลื่อนไหวร่างกาย และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
              การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน

ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
ขั้นนี้เป็นการแสวงหาความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ

ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล / ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล / ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนสร้างความหมายของข้อมูล / ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น กระบวนการคิดและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม

ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนเองแก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ของผู้อื่นไปพร้อมๆกัน

ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และจัดสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบ เพื่อให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย 

ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ / หรือการแสดงผลงาน
ขั้นนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตน และช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์

ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆที่หลากหลาย เพิ่มความชำนาญ ความสามรถในการแก้ปัญหา เป็นการให้โอกาสผู้เรียนใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์


ขั้นที่ 1-6 เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (Construction of Knowledge) 

ขั้นที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ (Application) จึงทำให้รูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลัก CIPPA


          ประโยชน์

1. ผู้เรียนรู้จักการแสวงหาขอมูล ข้อเท็จจริงจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้

2. ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการคิดที่หลากหลาย เป็นประสบการณ์ที่จำนำไปใช้ได้ในการดำเนินชีวิต


3. ผู้เรียนมีประสบการณ์ในการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับสมาชิกภายในกลุ่ม


http://www.nana-bio.com/Research/image%20research/research%20work/CIPPA/CIPPA04.html

https://prezi.com/huscjswer_m8/cippa-model/






1.2.2 วิธีสอนแบบโครงงาน

วิธีสอนแบบโครงงาน (Project Method) คือเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า หรือปฏิบัติงานตามหัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกกระบวนการทำงานอย่างมีขั้นตอน มีการวางแผนในการทำงานหรือแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ


         การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1. ขั้นกำหนดปัญหา หรือสำรวจความสนใจ

2. ขั้นกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน

3.ขั้นวางแผนและวิเคราะห์โครงงาน 

4.ขั้นลงมือปฏิบัติหรือแก้ปัญหา

5. ขั้นประเมินผลระหว่างปฏิบัติงาน

6. ขั้นสรุป รายงานผล และเสนอผลงาน
           

  ประโยชน์

1.เป็นการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทมีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียนรู้ได้ปฏิบัติจริง คิดเอง ทำเอง อย่างละเอียดรอบคอบ
2. ผู้เรียนรู้จักแสวงหาข้อมูล สร้างองค์ความรู้และสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง
3. ผู้เรียนมีทักษะในการแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการในการทำงาน มีทักษะการเคลื่อนไหวทางกาย


                                       
http://taamkru.com/th/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/







1.2.3 วิธีสอนแบบแสดงบทบาท

วิธีสอนแบบแสดงบทบาท (Role Playing Method) คือ วิธีสอนที่ใช้การแสดงบทบาทสมมติ หรือการเทียบเคียงสถานการณ์ที่เป็นจริงมาเป็นเครื่องมือในการสอน

            การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1. เลือกปัญหาที่นักเรียนทำความเข้าใจยาก จำยากสับสน หรือกล่าวตามสภาพจริงไม่ได้มาเป็นเรื่องที่จะแสดงบทบาท

2. ให้นักเรียนร่วมกันกำหนดตัวบุคคลให้เหมาะสมกับบทบาทนั้นๆ เท่าที่ลักษณะของบุคคลจะเอื้ออำนวยให้กับสภาพความเป็นจริง

          
               ประโยชน์

1. นักเรียนได้เตรียมพร้อมกับความสนุกสนานเพลิดเพลิน

2. สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ง่าย

3. ช่วยพัฒนาการทางอารมณ์และสังคม









  1.2.4 การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย


การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย (Deductive Method) คือกระบวนการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเกี่ยวกับกฏ ทฤษฎี หลักเกณฑ์ ข้อเท็จจริงหรือข้อสรุปตามวัตถุประสงค์ในบทเรียน

              การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1. ขั้นกำหนดขอบเขตของปัญหา เป็นการนำเข้าสู่บทเรียนโดยการเสนอปัญหาเพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความสนใจที่จะหาคำตอบ

2. ขั้นแสดงและอธิบายทฤษฎี หลักการ เป็นการนำเอาทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุปที่ต้องการสอนมาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทฤษฎี หลักการนั้น

3. ขั้นใช้ทฤษฎี หลักการ เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะเลือกทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุปที่ได้จากการเรียนรู้มาใช้ในการแก้ปัญหาที่กำหนดไว้ได้

4. ขั้นตรวจสอบและสรุป เป็นขั้นที่ผู้เรียน จะตรวจสอบและสรุปทฤษฎี หลักการ กฎ ข้อสรุปหรือนิยามที่ใช้ ว่าถูกต้อง สมเหตุสมผลหรือไม่ ข้อสรุปที่ได้พิสูจน์หรือตรวจสอบว่าเป็นจริงจึงจะเป็นความรู้ที่ถูกต้อง

5. ขั้นฝึกปฏิบัติ เมื่อผู้เรียนเกิดความเข้าใจในทฤษฎี หลักการ กฏ ข้อสรุปพอสมควรแล้ว ผู้สอนเสนอสถานการณ์ใหม่ให้ผู้เรียนสุขนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆที่หลากหลาย


                  ประโยชน์

1.เป็นวิธีการที่ช่วยในการถ่ายทอดเนื้อหาสาระได้ง่ายรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก
2. ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ไม่มากนัก
3.ฝึกให้ผู้เรียนรู้ได้นำเอาทฤษฎีหลักการกฎข้อสรุปหรือนิยามไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ

http://baknong.blogspot.com/2015/08/deductive-httpnappy131.html




1.2.5 การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย

การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย (Induction Method) คือกระบวนการที่ผู้สอนจากรายละเอียดย่อย โดยการนำเอาตัวอย่างข้อมูล เหตุการณ์ สถานการณ์หรือปรากฏการณ์ที่มีหลักการแฝงอยู่มาให้ผู้เรียนศึกษาสังเกต ทดลอง เปรียบเทียบหรือวิเคราะห์จนสามารถสรุปหลักการหรือกฏเกณฑ์ได้ด้วยตนเอง


                การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1. ขั้นเตรียมการเป็นการเตรียมตัวผู้เรียนทบทวนความรู้เดิมหรือปูพื้นฐานความรู้

2. ขั้นเสนอตัวอย่างเป็นขั้นที่ผู้สอนนำเสนอตัวอย่างข้อมูลสถานการณ์เหตุการณ์ปรากฏการณ์ให้ผู้เรียนได้สังเกตลักษณะและคุณสมบัติของตัวอย่างเพื่อพิจารณาเปรียบเทียบสรุปเป็นหลักการแนวคิดหรือกฎเกณฑ์

3.ขั้นเปรียบเทียบเป็นขั้นที่ผู้เรียนทำการสังเกตค้นคว้าวิเคราะห์รวบรวมเปรียบเทียบความคล้ายคลึงกันขององค์ประกอบในตัวอย่างแยกแยะข้อแตกต่างมองเห็นความสัมพันธ์ในรายละเอียดที่เหมือนกันต่างกัน

4.ขั้นกฎเกณฑ์เป็นการให้ผู้เรียนนำข้อสังเกตต่างๆจากตัวอย่างมาสรุปเป็นหลักการกฏเกณฑ์หรือนิยามด้วยตัวผู้เรียนเอง

5.ขั้นนำไปใช้ในขั้นนี้ผู้สอนจะเตรียมตัวอย่างข้อมูลสถานการณ์ที่การปรากฏการณ์มีความคิดใหม่ๆที่หลากหลายมาให้ผู้เรียนใช้ในการฝึกความรู้ เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตประจำวันและจะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น


                   ประโยชน์

1.เป็นวิธีการที่ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้ด้วยตนเองทำให้เกิดความเข้าใจและจดจำได้นาน

2.เป็นวิธีการที่ฝึกให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการสังเกตคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบตามหลักตรรกศาสตร์และหลักวิทยาศาสตร์สรุปด้วยตนเองอย่างมีเหตุผลอันจะเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ซึ่งใช้ได้ดีกับทางวิชาวิทยาศาสตร์

3.เป็นวิธีการที่ผู้เรียนได้ทั้งเนื้อหาความรู้และกระบวนการซึ่งผู้เรียนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่องอื่นๆได้


                 
1.2.6 วิธีสอนแบบปฏิบัติการหรือการทดลอง

วิธีสอนแบบปฏิบัติการหรือการทดลอง (Laboratory Method) คือเป็นวิธีสอนที่ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนลงมือปฏิบัติหรือทำการทดลองค้นหาความรู้ด้วยตนเองทำให้เกิดประสบการณ์ตรง


                  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1.ขั้นกล่าวนำ

2.ขั้นเตรียมดำเนินการ

3.ขั้นดำเนินการทดลอง

4.ขั้นเสนอผลการทดลอง

5.ขั้นอภิปรายและสรุปผล


                 ประโยชน์

1.ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของการปฏิบัติการหรือทดลอง

2.เป็นการเรียนรู้จากการกระทำเพื่อเป็นการเรียนรู้จากสภาพจริง

3.เสริมสร้างความคิดในการหาเหตุผล


รูปแบบการสอนกลุ่มปัญญานิยม

2. กลุ่มปัญญานิยม

   2.1 แนวคิดกลุ่มปัญญานิยม (Cognitive) ซึ่งมีแนวคิดพื้นฐานคือ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดที่เกิดจากการสะสมข้อมูล( ประสบการณ์ ) การสร้างความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลและการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่างๆโดยเน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิดสร้างความรู้ความเข้าใจให้ตนเอง 
      
       2.2 รูปแบบการสอนแบบแนวคิดกลุ่มปัญญานิยม
             2.2.1 การสอนแบบความคิดรวบยอด   
คือการมีความรู้ความเข้าใจลักษณะเฉพาะร่วมของสิ่งเร้า(เช่นวัตถุสถานการณ์เหตุการณ์)กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสามารถทำได้โดยการหา คุณสมบัติเฉพาะที่สำคัญของ สิ่งนั้นเพื่อเป็นเกณฑ์ในการจำแนก สิ่งที่ใช่และไม่ใช่สิ่งนั้นออกจากกันได้เช่นความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ โต๊ะหมายถึง สิ่งเร้า กลุ่มที่มีขาและมีพื้นที่หน้าตัดสำหรับไว้ใช้งานเขียนหนังสือวางสิ่งของเป็นต้นความคิดรวบยอดเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งที่ใช้ในการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่างๆการจัดการเรียนการสอนจึงต้องให้ผู้เรียนเกิดความคิดรวบยอดที่ถูกต้องให้ได้มิฉะนั้นแล้วผู้เรียนจะไม่สามารถเรียนรู้หรือเข้าใจสิ่งต่างๆอย่างแท้จริง 


             กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด

1.ขั้นการสังเกต

2.ขั้นจำแนกความแตกต่าง

3.ขั้นหาลักษณะร่วม

4.ขั้นระบุชื่อความคิดรวบยอด

    ขั้นทดสอบและนำไปใช้ขั้นตอนการสอนความคิดรวบยอดให้นักเรียนสังเกตบอกสิ่งที่เห็นที่เราต้องการให้เกิดความคิดรวบยอดและนำมาเปรียบเทียบหาลักษณะที่แตกต่างและเหมือนกันจัดกิจกรรมขั้นที่ 1 และ 2 จำนวน 3-4 ตัวอย่าง แล้วจึงดำเนินการนำตัวอย่างทั้งหมดให้นักเรียนหาลักษณะร่วมที่เหมือนกันและจริงสอนขั้นที่ 4-5 ให้ตัวอย่างแล้ว อย่าลืมตั้งคำถามให้เด็กตอบขั้นที่สำคัญคือ คันที่ 1-3 ลองคิดลองทำใช้ฝึกเด็กต่อไปจะไม่มีคำถามว่าทำไมถึงคิด


2.2.2 การสอนแบบสืบสวนสอบสวน


การสอนแบบสืบสวนสอบสวน คือการสอนวิธีแสวงความจริงเพื่อนำไปสู่การค้นพบกฎเกณฑ์ธรรมชาติคุณลักษณะของสิ่งต่างๆการนำกฎเกณฑ์มาใช้และสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้เป็นการสอนให้คิดเป็นทำเป็นและแก้ปัญหาด้วยวิธีการวิทยาศาสตร์


                 ขั้นตอนของการสอนแบบสืบสวนสอบสวน 

ขั้นที่ 1 ตั้งปัญหาเมื่อผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายว่าต้องการอยากรู้อะไรหรือกำลัง สืบค้นหาอะไรจึงเริ่มด้วยการ ตั้งปัญหา ปัญหาอาจได้มาจากเหตุการณ์จากการทดลองเริ่มจากตัวผู้เรียนเอง

ขั้นที่ 2 ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกัน ทำนายคำตอบโดยอาศัยเหตุผลประกอบการทํานายอย่างมีเหตุผล เรียกว่าสมมติฐาน

ขั้นที่ 3 ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์สมมติฐานหรือการหาวิธีการเพื่อที่จะให้ได้ผลออกมาได้ซึ่งไม่จำเป็นว่าผลนั้น จะตรงกับสมมติฐานหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนรู้จักคิด

ขั้นที่ 4 การดำเนินการตามที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นที่ 3 เพื่อพิสูจน์ว่าสมมติฐานใดเป็นไปได้

ขั้นที่ 5 สรุปผลเมื่อพบว่าสมมติฐานที่ตั้งขึ้นมีข้อมูลอะไรบ้างที่จะสนับสนุนตัดสินและสรุปผลซึ่งจะได้คำตอบของปัญหาที่ต้องการทราบคือนำผลมา อภิปราย เพื่อแปลข้อมูลนำมาเป็นข้อสรุป 

ขั้นที่ 6 นำผลสรุปไปใช้เป็นข้อมูลเพื่อจะค้นคว้าความรู้ต่อไปขั้นนี้ถือว่าเป็นขั้น นำผลสรุปไปใช้เป็นข้อมูลเพื่อจะค้นคว้าความรู้ต่อไปนี้ถือว่าเป็นขั้นการ นำความรู้ไปใช้


ผู้สอนจะเริ่มวิธีสอนแบบสืบสวนสอบสวนซึ่งประกอบด้วยขั้นต่ำ 4 ขั้นคือ OCPC

1 O = Observation สังเกต  ผู้สอนนำสิ่งของปัญหาสถานการณ์มาให้เด็กสังเกตเกิดความเข้าใจเด็กจะถามเพื่อให้ได้ข้อมูลสำหรับอธิบายข้อสงสัยนั้นๆ คำถามต้องเป็นแบบ “ ใช่หรือไม่ “ เพื่อเป็นการแยกปัญหาออกเป็น 2 ฝ่าย
2. E = Explanation อธิบาย    เมื่อผู้เรียนได้ข้อมูลจากการสังเกตในขั้นแรกแล้วถ้าเด็กถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นผู้สอนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนช่วยกันหาคำอธิบายเกิดตั้งสมมติฐานอธิบายว่าปัญหาสถานการณ์ปรากฏการณ์นั้นๆมีอะไรเป็นมูลเหตุเหตุใดจึงเกิดผลเช่นนั้น
3. P = Prediction การทำนาย    เมื่อตั้งสมมติฐานแล้วจะคาดการณ์ล่วงหน้าโดยนำความรู้ที่ได้ไปทํานายปรากฏการณ์อื่นๆ ถ้ามีเหตุเช่นเดียวกันนั้นจะเกิดผลเป็นอย่างไร
4. C = Control and Creativity นำไปใช้และสร้างสรรค์   ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดว่าสิ่งที่ผู้เรียนพบนี้จะนำไปใช้อะไรได้บ้างเพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ไปคิดสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์อื่นๆที่เป็นประโยชน์ 


               เทคนิคการสอนแบบสืบสวนสอบสวน

1.เตรียมปัญหาที่จะต้องสืบสวนสอบสวน ปัญหานั้นอาจตั้งขึ้นเองโดยผู้สอนและผู้เรียนควรเป็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจใคร่รู้และไม่เป็นปัญหาที่ง่ายหรือยากเกินไป

2.ผู้สอนต้องเตรียมอุปกรณ์แหล่งวิชาการที่ผู้เรียนจะไปค้นคว้า เพื่อสืบสวนสอบสวน เท่าที่สามารถจัดหนักให้ได้

3.ผู้สอนไม่ควรตอบคำถามผู้เรียนเพื่อแก้ปัญหาเสียเอง แต่ผู้สอนอาจช่วยตั้งคำถามให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้

4.ผู้สอนต้องวางตัวเป็นกลางเมื่อผู้เรียนต่างมีเหตุผลมาโต้เถียง หรือขัดแย้งกันชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อผู้เรียนตั้งคำถามได้ดีหรือมีคำตอบที่ถูกต้องมีเหตุผล

5.ติดตามดูการค้นคว้าทดลองของผู้เรียนอย่างใกล้ชิดไม่ปล่อยปละละเลยเมื่อผู้เรียนค้นคว้าออกนอกแนวทางป้องคอยแนะนำให้ถูกทางเพื่อผลสรุปที่ถูกต้อง


                ประโยชน์

1.ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดและสติปัญญาของตนเองอยากมีอิสระ 

2. ช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างเป็นกระบวนการ3. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์



                                 
   

2.2.3 การสอนตามแนวคิดของทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์สรุปเป็นสาระสำคัญ ได้ดังนี้


1.ความรู้ของบุคคลใดคือโครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนั้นที่สร้างขึ้นจากประสบการณ์ในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เป็นปัญหาและสามารถนำไปใช้เป็นฐานในการแก้ปัญหาหรือธิบายสถานการณ์อีกได้

2.นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีการที่ต่างๆกันโดยอาศัยประสบการณ์และโครงสร้างทางปัญญาที่มีอยู่เดิมความสนใจและแรงจูงใจภายในตนเองเป็นจุดเริ่มต้น

3.ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทาง ปัญญาของนักเรียนเอง


        การออกแบบการสอนตามแนวทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ซึม

1.การสร้างการเรียนรู้ (Learning Constructed) 

2. การแปลความหมายของแต่ละคน (Interpretation personal)

3.การเรียนรู้เกิดจากการลงมือกระทำ (Learning active)

4.การเรียนรู้ที่เกิดจากการร่วมมือ (Learning Collaborative)

5.การเรียนรู้ที่เหมาะสม (Learning Situated)

6.การทดสอบเชิงการบูรณาการ (Testing Integrated)



2.2.4 การสอนโดยการใช้สมองเป็นฐาน

การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน( Brain Based Learning)คือการเรียนรู้ที่สอดคล้องวิถีการเรียนรู้หรือการทำงาน ของสมองทางธรรมชาติเช่นในเรื่องการเรียนการสอนจะเป็นการสอน ให้สอดคล้องกับวิธีการทำงานของสมองแทนที่จะสอดคล้องกับอายุ ชั้นเรียนหรือห้องเรียนเพียงอย่างเดียว เพราะเด็กที่อายุเท่ากันอาจมีสมองไม่เหมือนกันก็ได้หรือมีความสามารถแตกต่างกัน หรือความสนใจแตกต่างกันด้วย การใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวข้องกับสมอง เป็นเครื่องมือในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์

   หลักการออกแบบกระบวนการเรียนรู้แบบ Brain-Based learning

1.สิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นความสนใจ
2. สถานที่สำหรับการเรียนรู้เป็นกลุ่มรวมกัน
3. เชื่อมโยงสถานที่เรียนในร่มกับนอกห้อง
4. จัดหาสถานที่หลากหลาย
5.ยืดหยุ่นเป็นองค์ประกอบที่สำคัญและกระตุ้นการเรียนรู้เพื่อให้เหมาะสมกับสมองที่แตกต่างกันของแต่ละคนและภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป
6. ความปลอดภัยลดความเสี่ยงต่างๆโดยเฉพาะในชุมชนเมือง

                     https://sites.google.com/site/prapasara/2-12


                                      


                     
                                      


                                     

                                     


                                     


2.2.5 การสอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน

การสอนการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน(Problem-Based Learning) เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เริ่มต้นจากปัญหาที่เกิดขึ้นโดยสร้างความรู้จากกระบวนการทำงานกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาหรือสถานการณ์เกี่ยวกับชีวิตประจำวันและมีความสำคัญต่อผู้เรียนการเรียนรู้แบบนี้มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้โดยการชี้นำตนเองซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดโดยการแก้ปัญหาอย่างมีความหมายต่อผู้เรียน


            การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหาจากสถานการณ์ต่างๆ

ขั้นที่ 2 ทำความเข้าใจกับปัญหา

ขั้นที่ 3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า

ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้

ขั้นที่ 5 สรุปและ ประเมินค่าของคำตอบ

ขั้นที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน


                  ประโยชน์

มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านทักษะและกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถเรียนรู้โดยการชี้นำตนเองซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกฝนการสร้างองค์ความรู้โดยผ่านกระบวนการคิดและการแก้ปัญหาอย่างมีความหมายต่อผู้เรียน




                                              


                                 รูปแบบการสอนกลุมมนุษยนิยม


3. กลุ่มมนุษยนิยม

3.1 แนวคิดกลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) มีแนวคิดพื้นฐานคือเน้นให้บุคคลได้มีเสรีภาพเลือกวิถีชีวิตตามความต้องการและความสนใจให้เสรีภาพในการคิดเน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นให้บุคคลมองบวกในตนและผู้อื่น ยอมรับตนเองและผู้อื่นนำส่วนดีในตนเองมาใช้ประโยชน์ให้เต็มศักยภาพ


        3.2 รูปแบบการสอนกลุ่มมนุษยนิยม
               3.2.1 วิธีสอนแบบอภิปราย (Discussion Method) 
คือเป็นการสอนโดยที่นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง

              ขั้นตอนของวิธีสอนแบบอภิปราย

1.ขั้นนำเข้าสู่หัวข้อการอภิปรายเป็นขั้นการกระตุ้นหรือเร้าความสนใจของนักเรียนให้มีความสนใจร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็น

2.ขั้นอภิปราย ให้แบ่งนักเรียนเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายผู้อภิปรายซึ่งอยู่หน้าชั้นเรียนกับฝ่ายผู้ฟัง


               ประโยชน์

1.ส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
2. พัฒนาสติปัญญาของนักเรียนด้านการคิดหาเหตุผล
3.ส่งเสริมการค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียนเพื่อนำมาใช้ในการอภิปราย

https://prezi.com/uax-62igdas7/presentation/


                           
 3.2.2 วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน

วิธีสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน (Committee Work Method) คือเป็นวิธีสอนที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มร่วมมือกันศึกษาค้นคว้าหาวิธีการแก้ปัญหาหรือปฏิบัติกิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด หรือความสนใจ เป็นการฝึกให้นักเรียนทำงานร่วมกันตามวิถีแห่งประชาธิปไตย


               ขั้นตอนในการสอนแบบแบ่งกลุ่มทำงาน

1.ครูและนักเรียนร่วมกันกำหนดความมุ่งหมายของการทำงานในแต่ละกลุ่ม ขั้นตอนนี้เป็นขั้นที่กำหนดความมุ่งหมายและวิธีการทำงานอย่างละเอียด

2.ครูเสนอแนะแหล่งวิทยาการที่จะใช้ค้นคว้าหาความรู้ได้แก่รายละเอียดของหนังสือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า

3. นักเรียนร่วมกันวางแผนและปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย

4.ครูและนักเรียนประเมินผลการทำงานในกรณีที่ครูให้สังเกตพฤติกรรมขอองนักเรียนในการปฏิบัติงานในกรณีนักเรียนร่วมกันประเมินผลการปฏิบัติงานในกลุ่มตนเองโดยบอกขั้นตอนการปฏิบัติงานผลที่ได้รับ และการพัฒนางานในโอกาสต่อไป


                 ประโยชน์

1. นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเต็มที่
2.นักเรียนได้ทำงานตามความถนัด ความสามารถ และความสนใจของตน



  3.2.3 วิธีสอนแบบหน่วย

วิธีสอนแบบหน่วย (Unit Teaching Method) คือเป็นวิธีการสอนที่นำเนื้อหาวิชาหลายวิชามาสัมพันธ์กัน โดยไม่กำหนดขอบเขตของวิชา แต่ยึดความมุ่งหมายของบทเรียนที่เรียกว่า "หน่วย" 


                   ขั้นตอนของวิธีการสอนแบบหน่วย

1. ขั้นนำเข้าสู่หน่วย

2.ขั้นนักเรียนและครูวางแผนร่วมกันในการปฏิบัติกิจกรรม

3. ขั้นลงมือทำงาน


                    ประโยชน์

1.เป็นวิธีการสอนที่ส่งเสริมความถนัดตามธรรมชาติของนักเรียน เพราะการสอนแบบนี้มีกิจกรรมหลายประเภทให้นักเรียนได้เลือกปฏิบัติทำตามที่ถนัดและสนใจ
2. นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการเรียนร่วมกับครู
3.นักเรียนได้รับการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย และได้ฝึกทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม

3.2.4 วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์

วิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์ ( Scientific Method ) คือเป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนพบปัญหา และคิดหาวิธีแก้ปัญหาโดยขั้นทั้ง 5 ของวิทยาศาสตร์


                  ขั้นตอนของวิธีสอนแบบวิทยาศาสตร์

1. ขั้นกำหนดปัญหา และทำความเข้าใจถึงปัญหา
2. ขั้นแยกปัญหา และวางแผนแก้ปัญหา
3.ขั้นลงมือแก้ปัญหาและเก็บข้อมูล
4.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลหรือรวบรวมความรู้เข้าด้วยกันและแสดงผลเป็นขั้นการรวบรวมความรู้ต่างๆ จากปัญหาที่แก้ไข้แล้ว
5. ขั้นสรุปและประเมินผลหรือขั้นสรุปและการนำไปใช้

                    ประโยชน์

1.นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและได้ร่วมปฏิบัติงานเป็นทีม
2. ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
3. ส่งเสริมให้มีความรับผิดชอบ


 3.2.5 การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ 

การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ (Discovery Method) คือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบ หรือความรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการเหมาะสำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์แต่ก็สามารถใช้กับวิธีอื่นๆ ได้ ในการแก้ปัญหานั้น ผู้เรียนจะต้องนำข้อมูลทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปเพื่อให้ได้ข้อค้นพบใหม่หรือเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้น


                  การจัดกิจกรรมการเรียนรู้

1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ผู้สอนกระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียนให้สนใจที่จะศึกษาบทเรียน
2. ขั้นเรียนรู้ ประกอบด้วย
     2.1 ผู้สอนใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยในตอนแรก เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบข้อสรุป
     2.2 ผู้สอนใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ แบบนิรนัย เพื่อให้ผู้เรียนนำข้อสรุปที่ได้ในข้อ 2 ไปใช้เพื่อเรียนรู้หรือค้นพบข้อสรุปใหม่ในตอนที่สอง โดยอาศัยเทคนิคการซักถาม โต้ตอบ หรืออภิปรายเพื่อเป็นแนวทางในการค้นพบ
      2.3 ผู้เรียนสรุปข้อค้นพบหรือความคิดรวบยอดใหม่

3.ขั้นนำไปใช้ ประโยชน์

1. ช่วยให้ผู้เรียนคิดอย่างมีเหตุผล
2. ช่วยให้ผู้เรียนค้นพบสิ่งที่ค้นพบได้นานและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
3. ผู้เรียนมีความมั่นใจ เพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่อย่างเข้าใจจริง

3.2.6 วิธีสอนแบบทีม

วิธีสอนแบบทีม (Team Teaching Method) คือเป็นการสอนที่ครูอย่างน้อย 2 คน ร่วมมือกันเตรียมการสอนอย่างใกล้ชิดและสอนนักเรียนร่วมกันในห้องเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกัน


                  ลัษณะของการสอนเป็นทีดี

1.ในห้องเรียนมีครูสอนมากกว่าหนึ่งคนรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการเรียนการสอนเริ่มตั้งแต่กำหนดจุดมุ่งหมาย เนื้อหาวิชา วิธีสอน สื่อการสอน ลงมือสอน ประเมินผล
2. ใช้วิธีสอนหลายรูปแบบ ได้แก่ การบรรยาย การค้นคว้าด้วยตนเอง การอภิปราย การแก้ปัญหา การสาธิต เป็นต้น
3. มีรูปแบบของการสอนเป็นทีม ได้แก่ แบบมีผู้นำคณะ แบบไม่มีผู้นำคณะ และแบบครูผู้เรียน


                 ประโยชน์ 

1.ผู้สอนแต่ละคนได้แสดงความสามารถในการสอนของตนอย่างมีประสิทธิภาพ
2.การวางแผนที่ร่วมกันคิดร่วมกันทำให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์ก่าคิดคนเดียว
3.ผู้เรียนได้สัมผัสผู้สอนในหลายลักษณะทำให้ไม่เบื่อหน่าย







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น